วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไขความลับเรื่อง CCD
ทุกครั้งที่เราอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับกล้องวิดีโอ นอกจากเรื่องของฟอร์แมต เลนส์ และโหมดในการถ่ายแบบต่าง ๆ แล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่ ต้องเกี่ยวข้องด้วยเสมอและถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือเรื่องของ CCD เมื่อเราพบคำว่า Pixel Shift Technology, HAD หรือ Hyper HAD ในกล้องแต่ละรุ่น หลายท่านอาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร มีผลข้างเคียงกับภาพที่จะถ่ายจา ก CCD เหล่านี้อย่างไร ฉบับนี้เราจะพาท่านไปไขปัญหาเรื่องราวของ CCD ว่าจริง ๆ คืออะไร มีด้วยกันกี่ชนิด และมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร เริ่มกันที่กล้องกล้องวิดีโอ หรือที่นิยมเรียกกันว่า Camcorder (Camera + Recorder) นั้น เป็นอุปกรณ์ตัวแรกที่จะต้องเกี่ยวข้องในกระบว นการผลิต คุณภาพของวิดีโอจะดีมากน้อยเพียงไรก็จะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้กล้องและการจัดองค์ประกอบของการถ่ายทำเป็นหลัก ห ากวิดีโอที่เราได้มาตั้งแต่เริ่มต้นไม่ดี โอกาสที่จะแก้ไขในขั้นตอนต่อมาจะเป็นสิ่งที่ยากและเสียเวลา CCD เป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของกล้อง เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวของมันจึงต้องรู้ว่ามันทำอะไรและอยู่ส่วนไหนของกล้องถ่ายวิดีโอเสียก่อน รูปแสดงส่วนตัดของกล้องวิดีโอ DMM 52จากรูป เราจะเห็นแสงสะท้อนจากวัตถุวิ่งผ่านเลนส์เข้ามาในกล้องแล้วถูกแยกออกเป็นสีพื้นฐานสามสีโดยปริซึม แสงของสีทั้งสามจะถูกส่งไปยังตัวแปลงสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งในอดีตก็คือหลอดถ่ายภาพโทรทัศน์นั่นเอง ต่อมาหลอดภาพนี้ก็ถูกแทนท ี่โดยสารกึ่งตัวนำที่เรียกว่า Charge-Coupled Device หรือ CCD ที่เรากำลังจะกล่าวถึงนั่นเองCCD มีพัฒนาการมาจากตัวเก็บประจุแบบ MOS ซึ่งเกิดจากการนำแผ่นโลหะอีเล็กโทรดเล็ก ๆ มาวางประกบอยู่บนพื้นซิลิกอนชนิ ด P-Type โดยมีชั้นซิลิกอนไดออกไซด์บาง ๆ คั่นกลางอยู่ หากปล่อยศักดาไฟฟ้าบวกให้กับแผ่นอีเล็กโทรดก็จะเกิดเป็นบ่อพลังงาน ต่ำ (Low-energy well) ใกล้กับจุดต่อระหว่างซิลิกอนไดออกไซด์กับพื้นซิลิกอนนั้น อีเล็กตรอนอิสระก็จะถูกดึงดูดมาเก็บไว้ในบ่อ นี้ มันสามารถเคลื่อนไปได้ถ้าบ่อข้างเคียงมีระดับพลังงานต่ำกว่า ความสามารถในการเก็บและส่งผ่านประจุนี้คือพื้นฐานการทำงานเบื้องต้นของ Charge-Coupled Deviceรูป อธิบายการเคลื่อนอีเล็กตรอนภายในแถวของตัวเก็บประจุแบบ MOS1. หลังจากศักดาไฟฟ้าบวก (5V) ถูกจ่ายให้กับแผ่นอีเล็กโทรด บ่อพลังงานต่ำก็จะเกิดขึ้นใต้แผ่นออกไซด์/สารกึ่งตัวนำ เป็นการดึงเอาอีเล็กตรอนอิสระเข้ามา2. หากศักดาที่สูงกว่า (10V) ถูกจ่ายไปยังอีเล็กโทรดข้างเคียงที่อยู่ติดกัน บ่อพลังงานต่ำที่ลึกกว่าก็จะเกิดขึ้นและจะไปดึงเอาอิเล็กตรอนอิสระจากบ่อที่สูงกว่าลงมา3. ถ้าศักดาที่จ่ายให้กับอีเล็กโทรดแผ่นแรกถูกปลดออกและศักดาที่จ่ายให้กับแผ่นที่สองปรับลดลงเท่ากับศักดาของแผ่นแรกเดิม (5V) อีเล็กตรอนก็จะค้างอยู่ที่แผ่นที่สองนี้เท่านั้น เมื่อทำซ้ำขั้นตอนนี้กับแผ่นที่สาม สี่ และต่อ ๆ ไป ประจุก็จะเคลื่อนตัวไปตามสายของตัวเก็บประจุ4. โดยการเปลี่ยนแผ่นอีเล็กโทรดเหล่านี้ด้วยสารไวแสงที่เรียกว่า "Photosensor" ประจุที่เกิดขึ้นจากแสงที่มาตกกระทบสารไวแสงเหล่านี้ก็จะถูกส่งออกไปด้วยวิธีการเดียวกันCharge-coupled deviceถ้าเราแทนที่แผ่นโลหะอีเล็กโทรดที่อยู่ด้านบนด้วย Photosenser ซึ่งผลิตจาก Polysilicon หรือ Stannic oxide ที่มีควา มโปร่งใส แล้วนำมาจัดเป็นกลุ่มไปวางเป็นอุปกรณ์รับภาพไว้ด้านหลังปริซึมหรือเลนส์ เราก็จะได้โครงสร้าง CCD เบื้องต้นของกล้ องวิดีโอ จุดแต่ละจุด (อยู่ระหว่าง 500-800 จุดต่อหนึ่งเส้นภาพ) จะสร้างประจุเป็นสัดส่วนกับความสว่างของภาพที่ถูกรวมลงไป ที่ตัวของมัน ดังนั้นจึงต้องหาวิธีที่จะอ่านค่าความแตกต่างของประจุจำนวนกว่าครึ่งล้านหรือมากกว่านี้ ให้เป็นตามลำดับของการกราดที่พอดีกับเส้นสแกนและอัตราการแสดงภาพของระบบโทรทัศน์ เพื่อจะส่งไปใช้งานภายนอกได้ต่อไป ปัจจุบันเราแบ่งประเภทขอ ง CCD จากชนิดของสารกึ่งตัวนำที่ใช้ ตำแหน่งหน่วยความจำชั่วคราว (Register) และวิธีการโยกย้ายข้อมูลของมัน ประเภทของ CCD เหล่านี้ได้แก่ Frame transfer(FT), Interline transfer(IT), และ Frame interline transfer (FIT)- Frame transfer: เป็น CCD ชนิดแรกที่พัฒนาขึ้นมา ประกอบไปด้วยพื้นที่ของ Photosensor ที่เหมือนกันสองส่วน ส่วนแรกเป็นพื้นที่รับภาพ อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่เก็บข้อมูล พื้นที่รับภาพจะประกอบด้วยชุดแถวของ Photosensor สำหรับรับแส งที่ส่งมาจากเลนส์ ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลจะถูกปิดไว้ไม่ให้แสงเข้า ภาพที่เกิดจากประจุไฟฟ้าจะสะสมขึ้นบนพื้นที่รับภาพในช่วงเวลา 1 ฟิลด์สแกน (20ms:PAL) และจะถูกย้ายอย่างรวดเร็วไปสู่พื้นที่เก็บข้อมูลในช่วงสัญญาณมืด (Blanking) ระหว่างฟิลด์ เนื่องจ ากขณะที่ข้อมูลกำลังเลื่อนลงมา ส่วนรับภาพก็ยังรับแสงจากเลนส์อยู่ ดังนั้นชัตเตอร์แบบกลไกจึงต้องนำมาใช้เปิดช่องแสงเพื่อรักษา ข้อมูลเดิมไว้ในระหว่างการเคลื่อนย้าย พื้นที่เก็บข้อมูลจะถูกลบข้อมูลออกทีละเส้นในการส่งไปยัง Read Out รีจิสเตอร์ ดังนั้นในช่วงเวลา 1 เส้นสแกน ภาพวิดีโอก็จะถูกส่งผ่านรีจิสเตอร์ออกมาเพื่อสร้างเป็นสัญญาณวิดีโอหนึ่งเส้นเช่นกัน- Interline transfer: พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการใช้ชัตเตอร์แบบกลไก โดยการวางตัวเก็บข้อมูลไว้ชิดกับตัวรับภาพ ประจุจะถูกส่งให้ตัวเก็บข้อมูลทันทีในช่วงของสัญญาณมืดโดยไม่ต้องผ่านตัวรับภาพตัวอื่น ข้อมูลที่ส่งให้ตัวเก็บข้อมูลจึงเป็นข้อมูลของ ตัวรับภาพที่อยู่ติดกันโดยไม่มีการรบกวน การอ่านจาก Read Out รีจิสเตอร์ยังคงใช้วิธีเดียวกันกับแบบ Frame transfer ปัญหาของ Interline transfer ในระยะแรก ๆ ก็คืออาการที่เรียกว่าการเปื้อนทางแนวตั้ง (Vertical Smear) ซึ่งมีสาเหตุมาจากกา รที่ CCD รับแสงที่มีความสว่างมาก (Highlight) เกินไป จนเป็นเหตุให้รุกล้ำเข้าไปในส่วนของสารกึ่งตัวนำจนเกิดการรั่วของปร ะจุจากตัวรับภาพไปยังตัวเก็บข้อมูลที่อยู่ติดกัน ประจุที่ส่งผ่านชิฟท์รีจิสเตอร์ลงมาเป็นทอด ๆ จึงเกิดการผิดเพี้ยนได้ โดยปกติแสง ที่มีความยาวคลื่นยาว (ความถี่ต่ำ) เท่านั้นจึงจะทะลุลึกลงไปในซิลิกอนได้ เราจึงเห็นรอยเลอะเปื้อนเป็นสีแดงหรือชมพูเท่านั้น อย่า งไรก็ตาม CCD รุ่นใหม่ ๆ ได้ลดการรั่วของประจุลงได้มากทำให้การเลอะเปื้อนทางแนวตั้งนี้ลดลง (Interline transfer จะใช้พื้นที่ CCD น้อยกว่าแบบ Frame transfer เกือบครึ่งหนึ่งแต่ก็ทำให้ความไวแสงน้อยกว่าแบบแรกไปด้วย)- Frame interline transfer: เป็นการพัฒนาเพื่อลดปัญหาการเลอะเปื้อนของ Interline transfer โดยการนำวิธีเคลื่อน ย้ายข้อมูลของทั้งสองแบบข้างต้นมารวมกัน ในช่วงสัญญาณมืด ประจุภาพจะถูกย้ายไปยังตัวเก็บที่อยู่ติดกัน (เพื่อไม่ต้องใช้ชัตเตอ ร์แบบกลไก) อย่างไรก็ตามการเลื่อนลงมาเพื่อไปยังพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ Frame interline transfer นั้นจะใช้เวลาเร็วมากคือประ มาณ 60 เท่าของความเร็วฟิลด์สแกน ดังนั้นการรั่วไหลใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นจึงน้อยมาก ทำให้ลดการเลอะเปื้อนทางแนวตั้งลงได้ผลของความละเอียดหากต้องการความละเอียดของภาพสูง ๆ จะต้องใช้ CCD ที่มีจำนวนจุดภาพมาก อย่างไรก็ตามการเพิ่มจุดภาพโดยไม่เพิ่มขนาดพื้นที่ของ CCD (ปกติ 2/3") ก็จะทำให้ความไวแสงลดลงได้เช่นกันAliasingจุดแต่ละจุดก็คือตัวอย่างของภาพที่ต่อเนื่องกันเพื่อจะให้เกิดเป็นความสว่างของภาพ มันคล้ายกับการแปลงจากอะนาลอกไปเป็นดิจิต อล ซึ่งจะเป็นไปตามกฎทางคณิตศาสตร์ที่ตั้งขึ้นโดยไนควิสท์ ที่ระบุว่า "ถ้าสัญญาณที่นำเข้ามาจะถูกนำมาสร้างใหม่ย่างถูกต้อง มั นจะต้องสุ่มออกมาโดยใช้ความถี่ที่มากกว่าสองเท่าของความถี่สูงสุดของสัญญาณนั้น" Aliasing หรือรอยหยัก ซึ่งแสดงออกมาใ นแบบภาพของมัวร์ (Moire) ที่เจาะจงไปยังวัตถุที่เคลื่อนที่ซึ่งมีสาเหตุมาจากความถี่สูงทางอินพุทไปรบกวนความถี่ต่ำ มันสามาร ถกดให้ลดลงโดยการเลื่อน CCD สีเขียว (เป็นสีที่ไวต่อสายตาและอยู่ในสีขาวมากที่สุดถึง 59%) ออกไปอีกครึ่งจุดเมื่อเทียบกับสีน้ำเงินและสีแดง เทคนิคนี้ได้ถูกนำไปปรับปรุงใช้ในระบบ CCD ของ Canon เรียกว่า Pixel Shift Technology เพื่อเพิ่มควา มละเอียดของ CCD จากเดิม 270000 จุดให้ใกล้เคียงกับ 410000 จุด พร้อมกับการลดการเปื้อนเลอะทางแนวตั้ง เพิ่มความไวแสงและไดนามิคของภาพให้ดีขึ้นอีกด้วยHADมาจากคำว่า The hold accumulated diode (HAD) sensor ที่ให้ความละเอียดถึง 750 จุดต่อเส้น HAD เกิดจากการปรับปรุงพื้นที่การรับแสงของตัวรับแสง เป็นการเพิ่มสัดส่วนของผิวหน้าของ Photosensor ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความไวโดยไม่ต้อ งลดความละเอียด HAD ยังช่วยในการลดการเปื้อนเลอะทางแนวตั้งได้อีกด้วย Hyper HAD Sensor จะเพิ่มความไวแสงของกล้องโดยการวางเลนส์รวมแสงเล็ก ๆ ไว้บนตัวรับแสงแต่ละตัวเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการรวบรวมแสงให้มากขึ้นPower HAD Sensor จะปรับปรุงอัตราสัญญาณต่อสิ่งรบกวนให้สูงขึ้นทำให้เพิ่มความไวได้มากขึ้นกว่าครึ่งสต๊อปSwitched Output Integrationโทรทัศน์ในระบบ PAL ประกอบด้วยเส้นจำนวน 625 เส้น ในหลอภาพ เส้นฟิลด์คี่จะถูกกราดออกมาก่อนจากซ้ายไปขวา และจากบ นลงล่าง จากนั้นก็สะบัดกลับไปสู่ด้านบนเพื่อกราดเส้นฟิลด์คู่อีกครั้ง มันต้องใช้ทั้งสองฟิลด์นี้ประกอบภาพที่สมบูรณ์ขึ้นมาหนึ่งเฟรมโดยใช้ความถี่หลัก 50Hz จึงจะได้ภาพจำนวนขนาด 25 เฟรมต่อวินาทีCCD แบบ Frame transfer จะใช้จุดภาพเดิมสำหรับทั้งสองฟิลด์ ในขณะที่แบบ Interline transfer และ Frame interline transfer จะใช้จุดภาพแยกกันซึ่งทำให้รายละเอียดสูงขึ้น มีวิธีการสองแบบในการอ่านภาพที่เป็นประจุอีเล็กตรอนออกจากพื้นที่เก็บ- Field integration: เป็นการอ่านจุดทุกจุดออกมาแต่สัญญาณจากเส้นที่อยู่ติดกันจะถูกเฉลี่ยค่า วิธีนี้ถึงแม้ว่าจะลดรายละเอียดทางแนวตั้งลงแต่จะลดการเลือนจากการเคลื่อนไหว (Motion blur) ให้น้อยลงได้Field 1 - (line 1 and line 2), (line 3 and line 4), etcField 2 - (line 2 and line 3), (line 4 and line 5), etc- Frame integration: วิธีการนี้จะอ่านทั้งสองฟิลด์มาในครั้งเดียว ดังนั้นการเลือนจากการเคลื่อนไหวจะมากเพระสัญญาณถูกเฉ ลี่ยภายในช่วงเวลาที่นานกว่าแบบ Field integration แต่ก็จะทำให้ได้รายละเอียดทางแนวตั้งสูงกว่าสำหรับภาพที่อยู่คงที่ การใช้ระบบเพิ่มความคมชัดทางแนวนอน (Enhanced vertical definition system) จะทำให้ได้รายละเอียดที่สูงขึ้นโดยไม่มีกา รเลือนจากการเคลื่อนไหวเหมือนเช่นเดิม ระบบนี้จะใช้วิธีปิดฟิลด์หนึ่งไว้ก่อนขณะอ่านอีกฟิลด์หนึ่งด้วยชัตเตอร์อีเล็กทรอนิกส์ แน่นอนมันจะทำให้ความไวแสงลดลงไปหนึ่งสต็อปColorimeterPolysilicon ที่โปร่งใสที่ใช้ครอบ Photosensor ของ Interline transfer CCD จะเป็นตัวกรองเอาแสงสีน้ำเงินที่มีความยาวคลื่นต่ำออกไป ดังนั้นมันจะมีความไวต่อแสงที่ปลายของสเป็กตรัมสีน้ำเงินต่ำเมื่อเทียบกับการตอบสนองของแสงสีแดง สำหรับบ น HAD sensor จะไม่มีการใช้ Polysilicon นี้ ดังนั้นการตอบสนองต่อสเป็กตรัมจึงเป็นรูปแบบกว่าสรุปที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวพอสังเขปของ CCD ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของกล้อง บางครั้งเราจึงเรียกมันว่า Camera Chip อย่างไรก็ตามดูเหมือนเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันไม่ได้มากนักเนื่องจากมันเป็นเทคโนโลยีที่ผลิตสำเร็จมาจากโรงง าน สิ่งที่ทำได้ในฐานะของคนในวงการและผู้อ่าน DVM ก็คือ การติดตามวิวัฒนาการของมัน อย่างน้อยที่สุดเพื่อจะได้อธิบายให้คนอื่นฟังได้อย่างสมศักดิ์ศรี เมื่อมีคำถาม "CCD คืออะไร ?"ReferencesKG Jackson, "TV & Video Engineer's reference book", Butterworth HeinemannPerter ward, "Digital Video Camerawork", Focal PressPerter ward, "Multiskilling for television production", Focal Press

ขอขอบคุณ
สุชาติ พรหมปัญญาบรรณาธิการ DVM

Film Look

ระยะนี้หากเข้าไปในเว็บไซต์ทางด้านดิจิทัลวิดีโอสักแห่งหนึ่งแล้วไม่พบเรื่องของ Film Look ก็จะดูเหมือนเว็บไซต์นั้นตกข่าวหรือไม่ทันเหตุการณ์เอาเสียเลย Film look อยู่ในความสนใจของนักสร้างภาพยนตร์มาโดยตลอด บางระยะความสนใจก็พุ่งขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีการเปิดตัวกล้องวิดีโอรุ่นใหม่ ๆ ที่มีการสนับสนุน Film look ออกมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน DVX100 จากพานาโซนิค ได้ปลุกกระแส Film Look ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และมีทีท่าว่าจะแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะ DVX100 เป็นกล้องที่คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของได้ และถือเป็นกล้องมือถือตัวแรกของโลกที่ถ่ายในโหมด 24p (Progressive) แท้ ๆ พร้อมกับความสามารถในการทำภาพให้เหมือนฟิล์ม (Cine-like) ต่างกับ F900 หรือ HDC27 ที่น้อยคนจะมีโอกาสได้สัมผัส หรือแม้แต่ XL-1 เองก็ยังไม่ใช่โหมด Progressive และ 24p แท้ ๆ Film Look คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? ทำไมผู้ผลิตรายการจึงต้องให้ความสนใจกันมาก? คำว่า Film look ถูกนำไปใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน คุณ John Jackman ผู้เชี่ยวชาญทางด้านดิจิทัลวิดีโอท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ในนิตยสาร DV ว่า ปกติ Film look จะหมายถึงการสร้างวิดีโอให้คล้ายกับที่ได้มาจากการทำเทเลซีน (แปลงฟิล์มไปเป็นวิดีโอ) เป็นหลัก ไม่ได้หมายถึงความพยายามที่จะทำวิดีโอให้มีเม็ดฟิล์ม และรอยขีดข่วนกับเครื่องฉายเหมือนฟิล์มซึ่งใคร ๆ ก็ทำได้ นอกจากนี้คำว่า FilmLook(r) (เขียนติดกัน) ยังเป็นเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนโดยบริษัท Filmlook Inc. แคลิฟอร์เนีย ซึ่งหมายถึงกรรมวิธีทางดิจิทัลที่ทำให้วิดีโอคล้ายกับภาพที่ได้จากทำเทเลซีนแบบเรียลไทม์ Filmlook(r) เป็นที่รู้จักกันดีจากการทำรายการภาพยนตร์ HBO และเครือข่ายอื่น ๆ ให้ดูเหมือนฟิล์มจริง ๆ ได้สำเร็จ วิดีโอไม่ดีตรงไหน? ทำไมต้องทำวิดีโอให้ดูเหมือนฟิล์มด้วย? เป็นคำถามที่ได้ยินประจำเมื่อพูดถึงเรื่อง Film look บางคนเข้าใจว่าความเหมือนฟิล์มจะทำให้รายการดูเป็นมืออาชีพกว่า คงไม่ถูกต้องทีเดียว ความจริงมีอยู่ว่า วิดีโอนั้นถ่ายมาด้วยอัตราภาพที่สูงกว่า ท่วงท่าและการเคลื่อนที่ต่าง ๆ จึงดูนุ่มนวลกว่า เหมือนกับกำลังดูโลกแห่งความจริงหรือการแสดงบนเวที แต่ช่างน่าขันที่สิ่งนี้กลับไม่เหมาะเมื่อนำไปใช้กับภาพยนตร์เริงรมย์ ภาพยนตร์จะต้องดูด้วยจินตนาการ ความรู้สึกจากโลกแห่งความจริงจะทำลายจินตนาการเหล่านั้น ผู้ชมจะรู้ถึงอาการนี้โดยสามัญสำนึก ผิดกับฟิล์มที่อ่อนนุ่ม เหมือนความฝัน ประโยคที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างวิดีโอกับฟิล์มได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องอธิบายก็คือ "วิดีโอคือสิ่งที่ตาเห็น แต่ฟิล์มคือสิ่งที่ใจดู" วิดีโอจึงเหมาะสำหรับงานข่าว สารคดี การศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องของความจริง แต่ถ้าเป็น ละคร ภาพยนตร์ หรือเรื่องที่เป็นมายาทั้งหลายแล้ว ต้องฉายด้วยฟิล์มเท่านั้นจึงจะสร้างอรรถรสและจินตนาการให้คล้อยตามได้ดี แน่นอนถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินและเวลา การถ่ายด้วยวิดีโอนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลากว่าการถ่ายด้วยฟิล์มอย่างมาก ยิ่งเป็นภาพยนตร์อินดี้ (หมายถึงภาพยนตร์นอกระบบ ไม่เข้าโรง หนังสั้น หรือหนังใต้ดิน) ในอดีตจะต้องหาฟิล์มปลายม้วน (Ends) และฟิล์มเก่ามาใช้ ต้องสะสมกันทีละน้อย มีทั้งขอ ยืม ซื้อ หรือแม้แต่แอบขโมย วิดีโอได้ให้โอกาสใหม่ให้กับเขารวมทั้งบรรดาผู้ผลิตงบประมาณน้อยทั้งหลาย "คุณไม่มีทางทำให้วิดีโอเหมือนฟิล์มได้หรอก" นั่นเป็นอีกคำพูดหนึ่งในเชิงเยาะเย้ย หรือข่มผู้อื่น มันไม่ได้เป็นความจริงเลย การพูดแบบนี้รังแต่จะสร้างความโต้แย้งอย่างไม่เกิดประโยชน์ แน่นอนคุณสามารถทำวิดีโอให้ดูเหมือนฟิล์มได้ และก็มีผู้ที่ทำสำเร็จไปแล้วมากมาย HBO คือตัวอย่าง ยิ่งเป็นช่องภาพยนตร์ไซไฟ (SciFi Channel) ยิ่งนิยมกันมาก มีเทคนิคและขั้นตอนมากมายดังจะกล่าวต่อไปในการทำให้วิดีโอดูเหมือนฟิล์มได้ ภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องเมื่อทำเป็นวิดีโอแล้วแม้ผู้เชี่ยวชาญก็ยากที่จะบอกได้ว่าถ่ายมาจากอะไร แน่นอนที่สุดหากคุณตั้งใจจะให้เหมือนฟิล์มจริง ๆ คุณจะต้องใช้ทีมงานที่เคยถ่ายฟิล์มมาทำงาน ใช้การจัดองค์ประกอบ และความพิถีพิถันแบบเดียวกับที่ถ่ายกับฟิล์มเท่านั้น เราจะแบ่งการทำ Film look ตามวัตถุประสงค์ได้สองอย่างคือ การแปลงวิดีโอไปเป็นฟิล์มเพื่อฉายกับเครื่องฉายภาพยนตร์ กับ การทำวิดีโอให้ดูเหมือนฟิล์มเพื่อเปิดด้วยจอโทรทัศน์ DVM เคยนำรายละเอียดเกี่ยวกับการแปลงวิดีโอไปเป็นฟิล์ม การแปลงฟิล์มไปเป็นวิดีโอ มาลงแล้วครั้งหนึ่ง ในฉบับที่ 6 นอกจากนั้นยังได้เสนอวิธีการแปลง DV ไปเป็นฟิล์ม และเทคนิคการใช้กล้อง XL-1 ถ่ายทำภาพยนตร์ในฉบับเดียวกัน ท่านสามารถนำมาอ่านประกอบกับบทความนี้ได้เป็นอย่างดีความแตกต่างระหว่างวิดีโอกับฟิล์ม หากพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่า ฟิล์มกับวิดีโอนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหลักการบันทึกภาพสื่อที่ใช้ในการบันทึก ความละเอียด วิธีการฉายภาพ และกรรมวิธีในการผลิต บางอย่างเป็นอะไรที่ตรงข้ามกันทั้งหมดเช่นฟิล์มจะถ่ายด้วยอัตราภาพที่เปลี่ยนแปลงได้แต่ฉายในอัตราที่คงที่ ส่วนวิดีโอจะถ่ายด้วยอัตราที่คงที่แต่ฉายในอัตราที่แปรเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เนื้อหาเกินขอบเขต เราจะพิจารณาเฉพาะความแตกต่างที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในการทำวิดีโอให้เหมือนฟิล์มเท่านั้น 1. Frame rate (Temporal resolution) หมายถึงความชัดเจนในการเคลื่อนไหว (Motion Clarity) ฟิล์มจะถูกถ่ายด้วยอัตรา 24 ภาพต่อวินาที ซึ่งเป็นอัตราที่หลอกสายตาให้เห็นลำดับของภาพเหล่านั้นเป็นภาพเคลื่อนไหวโดยไม่รู้สึกถึงการกระพริบ การถ่ายในอัตรานี้ต้องใช้ความไวชัตเตอร์ 1/48 วินาที หรือเปิดมุมชัตเตอร์ที่ 180 องศา ส่วนวิดีโอในระบบ NTSC นั้นจะถ่ายด้วยอัตราที่เร็วกว่าฟิล์มคือ 30 กรอบภาพ (Frame) ต่อวินาที แบบสอดประสาน (Interlaced) ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คือ 60 สนามภาพ (Interlaced) ต่อวินาทีโดยใช้ความไวชัตเตอร์ 1/60 วินาที (กรณีระบบ PAL ตัวเลขจะเป็น 25, 50 และ 1/50 ตามลำดับ) จะเห็นว่าวิดีโอนั้นจะแสดงการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและเป็นจริงกว่าฟิล์ม เราจึงใช้วิดีโอสำหรับงานข่าว และกีฬา และใช้ฟิล์มกับละครหรือภาพยนตร์ เป็นหลัก2. Frame Resolution หมายถึงอัตราการแยกแยะหรือความคมชัดของภาพ ฟิล์มจะมีความละเอียดสูงกว่าวิดีโอมาก ประมาณว่าละเอียด ถึง 5000x5000 จุดภาพ สำหรับฟิล์ม 35มม. ในขณะที่สายตามนุษย์จะแยกแยะได้ต่ำกว่านี้คือประมาณ 2500x2500เท่านั้น ดังนั้นผู้ผลิตในฮอลลีวูดจึงเลือกที่จะเอาต์พุตฟิล์มที่ 2k (2048x1556) เป็นมาตรฐานสำหรับฟิล์ม 35มม. ในขณะที่ความละเอียดของวิดีโอในระดับความชัดมาตรฐาน (Standard Definition) ในระบบ NTSC จะอยู่ที่ 720x480 เท่านั้น หรือสูงสุด 1920x1080 ในระบบความชัดสูง (High Definition) อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าความคมชัดจะเป็นปัญหาในขั้นตอนของการขยายภาพ (Blowup) ไปเป็นฟิล์ม แต่มันก็ไม่ได้สร้างปัญหาในการทำวิดีโอให้เหมือนฟิล์มแต่อย่างใด3. Contrast Ratio หมายถึงอัตราส่วนความเปรียบต่างเทียบจากบริเวณที่ขาวสุดกับดำสุด ฟิล์มจะมีอัตราส่วนความเปรียบต่างเฉลี่ยถึง 100:1 ในขณะที่ของวิดีโอจะมีเพียง 20:1 ดังนั้นรายละเอียดของภาพที่อยู่ในส่วนมืดและสว่างของฟิล์มจะมองเห็นได้พร้อม ๆ กัน ในขณะที่ภาพของวิดีโอจะต้องเลือกให้เห็นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ผลของอัตราความเปรียบต่างยังทำให้ภาพของฟิล์มมีความอ่อนนุ่มกว่า ในขณะที่ของวิดีโอจะเกิดขอบคม (Sharpness) มากกว่าปกติ ดังนั้นการลดความคมของภาพจะช่วยให้ขอบนุ่มลงและมีความเหมือนฟิล์มมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่นักสร้างภาพยนตร์นิยมใช้ XL-1 ที่ให้ภาพอ่อนนุ่ม (Soft) มาใช้ในการถ่ายภาพยนตร์มากกว่ารุ่นอื่น ๆ อย่างไรก็ตามปัจจุบันอัตราส่วนความเปรียบต่างของกล้องวิดีโอรุ่นใหม่ ๆ กำลังตามติดกล้องฟิล์มขึ้นไปอย่างรวดเร็ว 4. Depth of Field เป็นเรื่องเกี่ยวกับสุนทรียภาพ (Aesthetic) ในการนำเสนอ เลนส์ของวิดีโอจะมีช่วงความชัดยาวกว่าฟิล์ม 35มม. ผู้กำกับจึงนำผู้ชมไปยังวัตถุที่ต้องการโดยการปรับภาพให้ชัดเฉพาะจุดได้ไม่ดีถึงแม้จะปรับขนาดของรูรับแสงหรือ f-number ช่วย ช่วงความชัดที่ได้ก็ยังแคบไม่พอ 5. Color Representation เป็นความแตกต่างของคุณลักษณะในการเก็บและแสดงภาพระหว่างวิดีโอกับฟิล์ม ค่านี้กำหนดจากเส้นโค้งแกมมา(Gamma curve) ซึ่งแสดงถึงการกระจายตัวของค่าสีเทาระหว่างช่วงมืดสุดกับสว่างสุด ในส่วนของฟิล์มเส้นโค้งแกมมาจะทำให้ส่วนที่มืด มืดกว่าความเป็นจริง และส่วนที่สว่างก็จะสว่างกว่าปกติ ส่วนวิดีโอนั้นเส้นโค้งจะเรียบเป็นเส้นตรงรูปเปรียบเทียบเส้นโค้งแกมมาระหว่างวิดีโอกับฟิล์มถ่ายอย่างไรให้เหมือนฟิล์ม สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาก็คือสไตล์ในการถ่ายทำ Brain Rose ผู้จัดการเทคนิคของ OpTex กล่าวว่า "คุณจะต้องพยายามถ่ายด้วยสไตล์และกฎเกณฑ์ทุกอย่างของฟิล์ม ใช้กล้องที่เหมือนกับกล้องฟิล์ม ใช้เลนส์และอุปกรณ์เสริมทุกอย่างที่เป็นของฟิล์ม" เช่นเดียวกัน Lucas ผู้กำกับอันดับหนึ่งของโลก ผู้บุกเบิกในการใช้กล้องวิดีโอในการถ่ายทำภาพยนตร์ของเขาหลาย ๆ เรื่องแนะนำว่า "คุณควรจะถ่ายด้วยทีมงานจากภาพยนตร์จริง ๆ" นั่นหมายถึงการเลือกใช้กล้อง เลนส์ ฟิลเตอร์ การจัดแสงที่ดี การปรับหน้ากล้องที่พิถีพิถัน การวางองค์ประกอบของภาพ และการควบคุมการเคลื่อนที่ของกล้องด้วยเครื่องค้ำจุน เป็นต้น การตั้งกล้องแบบอัตโนมัติแล้วกวาดไปรอบ ๆ เหมือนกับการถ่ายภาพในงานเลี้ยงนั้น คงไม่สามารถทำให้วิดีโอดูเหมือนฟิล์มได้ แม้จะใช้กระบวนการหลังการถ่ายทำ (Post-production) เข้ามาช่วยก็ตาม โฮมวิดีโอประเภทนี้อาจดูแย่กว่าเดิมหากพยายามนำไปทำให้เหมือนฟิล์มด้วยขั้นตอนหลังการถ่ายทำแบบต่าง ๆ เฉพาะการถ่ายวิดีโอด้วย "ฟิล์มสไตล์" ก็เพียงพอที่จะทำให้สายตาเฉลี่ยทั่วไปเชื่อได้ว่าเป็นงานที่ถ่ายด้วยฟิล์มจริง ๆ John Jackman ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลวิดีโอกล่าวว่า "ผมได้รับคำถามจากวิศวกรวิดีโอหลายคนว่า ฟุตเทจของผมนั้นถ่ายมาจากฟิล์มหรือเปล่า เพราะว่ามันดูแตกต่างจากวิดีโอที่เขาเคยเห็นทั่วไปที่มักเป็นภาพแบน ๆ" ถึงแม้ว่าการถ่ายทำจะเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำวิดีโอให้เหมือนฟิล์ม แต่มันก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีอยู่ ยังมีองค์ประกอบและขั้นตอนอีกหลายอย่างเช่น การทำ 3:2 Pulldown การแก้การสอดประสาน การแก้สี หรือการเพิ่มเกรนบาง ๆ ยิ่งกรณีที่เราไม่สามารถถ่ายทำให้เป็น Film look ได้ตั้งแต่ต้น ขั้นตอนหลังการถ่ายทำจะยิ่งเพิ่มความสำคัญมากยิ่งขึ้น ต่อไปนี้เป็นปัจจัยในการทำวิดีโอให้เหมือนฟิล์มที่สำคัญ- กล้อง เป็นด่านแรกของการทำวิดีโอให้เหมือนฟิล์ม กล้องที่จะทำหน้าที่นี้ได้ดีจะต้องสนับสนุนการทำงานในโหมดก้าวหน้า (Progressive) และมีอัตราการถ่าย 24 กรอบภาพต่อวินาที (ดู Progressive เรื่องที่คุณต้องรู้ ในฉบับ) และจะดียิ่งขึ้น หากสามารถปรับแกมมาให้เหมือนฟิล์มได้ การสนับสนุนอัตราส่วนลักษณะ 16:9 จะทำให้ได้ภาพใกล้เคียงกับระบบฟิล์ม 35 มม.ซึ่งใช้อัตราส่วนลักษณะ 1:1.85 (อ่าน อัตราส่วนลักษณะใน DVM ฉบับที่ 9) กล้องที่ถือเป็นที่สุดในระดับ DV ที่เหมาะในการถ่ายวิดีโอให้เหมือนฟิล์มที่สุดก็คือกล้อง DVCPRO HD AJ-HDC27 (VARICAM) ซึ่งสนับสนุนการถ่ายในอัตราต่าง ๆ ตั้งแต่ 4-60fps รวมทั้ง 24p สามารถเลือกแกมมาแบบ Cine-like ได้ด้วย ใช้ได้ทั้งเลนส์วิดีโอและเลนส์ของกล้องฟิล์ม เมื่อใช้ตัวปรับ (Adapter) สนับสนุนอัตราส่วนลักษณะ 16:9 แท้ ๆ และ 4:3 มาตรฐานVARICAM AJ-HDC27 DVCPRO HD นอกจาก AJ-HDC27 แล้ว ยังมี AJ-SDX900 DVCPRO 50 อีกตัวหนึ่งในงบประมาณที่ต่ำกว่าที่สนับสนุน 24p และอัตราส่วนลักษณะ 16:9 ได้เช่นกัน ทางด้าน JVC เองก็มี Cineline ที่ออกแบบสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ดิจิทัลโดยเฉพาะ รุ่นที่น่าสนใจสองรุ่นคือ DY90W 50Mbps D9 สำหรับมืออาชีพ และ GY-DV700W ในระดับ miniDV ทั้งคู่สนับสนุนเส้นโค้งแกมมาและเมตริกสีที่แปลงไปสู่ฟิล์มได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถถ่ายแบบ 16:9 และ 4:3 ได้เช่นกันAJ-SDX900 DVCPRO 50 480p24 ยังมีกล้องอีกหลายรุ่นที่สามารถปรับแต่งให้ทำงานในลักษณะนี้ได้ เช่น ดิจิทัลเบต้าแคม เมื่อปรับพารามิเตอร์ให้ดีีก็จะกลายเป็นกล้องสำหรับถ่ายให้เหมือนฟิล์มได้ เมื่อนำไปขยายเป็นฟิล์ม 35มม. ก็จะให้คุณภาพที่โดดเด่นไม่ต่างกับรุ่นอื่น ๆ ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ดิจิทัลเบต้าแคม และกล้องอีกหลายรุ่นในปัจจุบัน เมื่อปรับให้เหมาะกับงานแต่ละประเภทแล้วสามารถบันทึกค่าเก็บไว้ในหน่วยความจำ เมื่อจะใช้งานก็เรียกคืนจากหน่วยความจำ หรือจากการ์ดบันทึกสำหรับช่างแต่ละคนได้ Cineline GY-DV700W miniDV ในระดับกึ่งอาชีพก็มีผู้นำไปประยุกต์ให้ถ่ายเป็น Film look ได้สำเร็จกันหลายรุ่น ที่นิยมกันมากก็คือ Canon XL-1/S และ GL1/2 เนื่องจากเป็นรุ่นที่สนับสนุน Frame Movie Mode 25/30p ให้ภาพออกนุ่มจึงลดขอบคมได้ดี มีลักษณะคล้ายฟิล์ม โดยเฉพาะรุ่น XL1/S จะมีอุปกรณ์เสริมช่วยคุณการถ่ายแบบมืออาชีพให้เลือกใช้มากมาย XL-1 เมื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริม สำหรับกล้องที่เป็นที่วิจารณ์กันมากที่สุดในระยะนี้คงไม่มีใครเกิน AG-DVX100 กล้องมือถือตัวแรกของโลกที่สามารถถ่ายแบบ 24p ได้พร้อมแกมมาที่เป็น Cine-like ท่านสามารถอ่านรายละเอียดของกล้องรุ่นนี้ได้ใน เรื่องจากปก ในฉบับ พร้อมคำวิจารณ์อย่างละเอียด นอกจากนี้ในส่วนเพิ่มเติมของบทความนี้ก็ได้เสริมโหมด 24p ซึ่งขาดหายไป (เพราะกล้องในเมืองไทยเป็น PAL) AG-DVX100 กล้อง Film look ที่กำลังมาแรงที่สุด อย่างไรก็ตามยังมีกล้องในระดับกึ่งอาชีพอีกหลายตัวที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับถ่ายแบบ Film look แต่ก็มีผู้นำไปใช้ได้โดยอาศัยเทคนิคการถ่ายทำแบบ ฟิล์มสไตล์ และใช้ขั้นตอนหลังการถ่ายทำเข้าช่วย กล้องเหล่านี้ได้แก่ VX2000, PD150 และ GY-DV300E เป็นต้น - เลนส์ ปัญหาเรื่องช่วงความชัดของวิดีโอที่แตกต่างจากฟิล์ม โดยเฉพาะกล้องเล็กที่เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนได้ หากยังใช้เลนส์วิดีโอมาตรฐานอยู่ก็ยังเลียนแบบช่วงความชัดแบบเลนส์ฟิล์มจริง ๆ ไม่ได้ แม้จะเป็นเลนส์ HD ก็ตาม ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ คุณต้องใช้เลนส์ของฟิล์มจริง ๆ ปัญหาอยู่ที่เลนส์ของฟิล์มนั้นออกแบบให้ส่งภาพไปบนฟิล์ม 35 มม. ซึ่งใหญ่กว่า CCD 1/3" ที่ใช้ใน XL-1 และ PD-150 ถึง 7 เท่า ถ้าฉายภาพลง CCD โดยตรง ก็จะได้ภาพเล็ก ๆ ตรงกลางของฟิล์มเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนมุมของเลนส์เพื่อให้ได้ภาพใหญ่ขึ้น เลนส์มาตรฐานนั้นก็จะกลายเป็นเลนส์ถ่ายไกล (Telephoto) ไป คุณจึงไม่มีทางได้อารมณ์แบบเลนส์ 35 มม.จริง ๆ เลย โชคดีที่ปัจจุบันมีผู้พัฒนาตัวปรับให้กล้องวิดีโอสามารถใช้กับเลนส์ของฟิล์มได้ เช่น Mini 35 Digital จาก P+S Technik จะใช้เทคนิคฉายภาพลงบนฉาก 35มม.ก่อน จากนั้นก็ส่งไปยังปริซึม เพื่อสะท้อนแสงผ่านเลนส์ที่สองเข้าสู่ CCD ในขนาดที่พอดี วิธีการนี้แม้จะดูง่ายแต่ก็ไม่มีใครทำมาก่อน ด้วยเทคนิคนี้ กล้อง XL-1, PD-150 ก็สามารถใช้กับเลนส์ฟิล์มได้ นอกจากนั้นขณะนี้ทาง P+S Technik ก็ได้ออกรุ่น Pro35 Digital มาสนับสนุนกล้องใหญ่ที่ใช้ CCD 2/3" และกล้อง HD ด้วยเช่นกัน (www.pstechnik.de/pstechnik.htm)- ฟิลเตอร์ สำหรับการถ่ายให้เหมือนฟิล์มแล้ว ฟิลเตอร์สำหรับทำภาพนุ่มหรือฟุ้งจะทำให้ได้ภาพใกล้เคียงกับฟิล์มยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ฟิลเตอร์ Pro-Mist ของ TIFFEN (www.tiffen.com) ซึ่งมีให้เลือกหลายชนิด โดยเฉพาะฟิลเตอร์ 4 ชนิดที่เป็นชุด Film look DV Filter Kit คือ o Black Diffusion/FX 1/2 สำหรับเอาขอบแข็ง ๆ ของภาพออก o Warm Back Diffusion/FX 1/4 จะให้ผลคล้ายกับแบบแรกแต่เพิ่มสีให้อุ่นขึ้น o Pro-Mist 1/2 ใช้ลดความคมที่มากเกินไป ให้เงาสว่างขึ้น และลดแฟลร์ลงได้ o Soft FX 1 ใช้ลดรายละเอียดที่ไม่ต้องการให้อ่อนลง * กล้องบางรุ่นจะมีที่ปรับ "Sharpness" เมื่อปรับให้ลดลงก็จะให้ผลคล้ายกับการใส่ฟิลเตอร์ประเภทนี้- การจัดแสง การจัดแสงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องพิจารณา เนื่องจาก CCD ของกล้องวิดีโอจะตอบสนองต่อแสงแตกต่างไปจากฟิล์ม ปกติฟิล์มจะมีช่วงไดนามิกกว้างกว่า คือประมาณ 12-14 f-stops เมื่อเปรียบกับ 8 f-stop ของวิดีโอ วิดีโอจะทำลายส่วนที่สว่างมากเกินไปและจะไปลดรายละเอียดในส่วนเงาออก การตั้งซีบราให้แสดงที่ 90 IRE จะช่วยเตือนให้ทราบว่าภาพจะถูกตัดหรือสูญเสียส่วนที่มีความส่องสว่างมาก ๆ ได้ ไม่มีใครต้องการบริเวณมืด ๆ ที่ไม่มีรายละเอียด ดังนั้นให้ใช้แสงลบเงาหรือแผ่นสะท้อนแสงเพื่อยกรายละเอียดบริเวณนี้ขึ้นมา คุณจะต้องจัดแสงราวกับมันเป็นฉากภาพยนตร์ คำแนะนำในการถ่ายให้เหมือนฟิล์ม นอกจากการเลือกกล้อง เลนส์ ฟิลเตอร์ และจัดแสง โดยเน้นให้ใช้อุปกรณ์ รูปแบบ ให้เหมือนกับการถ่ายด้วยฟิล์มจริง ๆ แล้ว ต่อไปนี้เป็นแนวทางและข้อควรระวังในการถ่ายเพิ่มเติม- กรณีที่ใช้เลนส์วิดีโอ ให้พยายามใช้ทางยาวโฟกัสที่ยาวขึ้น เปิดรูรับแสงให้กว้าง อาจใช้ ND ช่วยหากไม่กว้างพอ ทั้งนี้ก็ เพื่อให้ช่วงความชัดแคบใกล้เคียงกับเลนส์ของฟิล์มจริง ๆ- ปรับความชัดให้แม่นยำที่สุด ภาพที่หลุดความชัดเพียงเล็กน้อยจะสังเกตได้หลังจากเพิ่มความละเอียดแล้ว กล้องคอนซูเมอร์ จะใช้เลนส์คุณภาพต่ำ ปัญหาเพียงเล็กน้อยในวิดีโอจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เมื่อทำเป็นฟิล์มแล้ว- หลีกเลี่ยงการใช้ความไวชัตเตอร์สูง ให้ใช้ตามค่ามาตรฐาน (1/60 หรือ 1/50) หรือต่ำกว่า หากต้องการเพิ่ม Motion Blur ให้เหมือนกับฟิล์ม สำหรับกล้องบางรุ่น การใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำกว่ามาตรฐานจะทำให้ความคมชัดลดลงจนเห็นรอยหยัก ของเส้นเอียงได้ - ลดหรือปิดระดับรายละเอียดทั้งแนวตั้งและแนวนอนของกล้องถ้ามี เพื่อลดความหยาบของขอบ และลดสัญญาณรบกวนใน พื้นที่มืดไปด้วย- ลดหรือปิดอัตราการขยายสัญญาณของกล้อง หากจำเป็นให้เพิ่มขนาดรูรับแสงแทน เพื่อลดสัญญาณรบกวน- หลีกเลี่ยงภาพที่มีเส้นละเอียด หรือมีเส้นทแยงมุม หรือตะแกรง ที่อาจทำให้เกิดเส้นหยัก - หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพที่ดำหรือขาวจัดเกินไป รายละเอียดในส่วนของภาพที่ขาวหรือดำจัดจะหายไป การกำหนดการแสดง ซีบราไว้ที่ 90 IRE จะช่วยเตือนบริเวณที่แสงเกินได้ กรณีที่จะส่งไปเป็นฟิล์ม ให้หยุดกรรมวิธีในการทำ Film look ใด ๆ เช่นการใส่เม็ดฟิล์ม ทำรอยขีดข่วน เนื่องจากระบบแปลงวิดีโอไปเป็นฟิล์มจะมีการดำเนินการเหล่านี้อยู่แล้ว การทำซ้ำสองครั้งจะทำให้ภาพออกมาแย่ลงกว่าเดิม ถึงแม้อัตราส่วนลักษณะ 16:9 (1.78:1) จะใกล้เคียงกับฟิล์ม (1.85:1) แต่การเลือก 16:9 ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเสมอไป ขึ้นอยู่กับประเภทของ CCD (อ่าน อัตราส่วนลักษณะ DVM ฉบับที่ 9) และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่นหากต้องการนำไปเปิดกับโทรทัศน์ทั่วไปที่เป็น 4:3 การเลือก 16:9 จาก CCD ที่เป็น 4:3 จะทำให้เสียพื้นที่ไป 25% โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ ยิ่งกรณีขยายภาพไปเป็นฟิล์มก็จะทำให้คุณภาพลดลงไปอีก 16:9 จะดีที่สุดเมื่อถ่ายด้วยกล้อง HD เพื่อขยายภาพไปเป็นฟิล์ม และกรณีถ่ายแบบแอนะมอร์ฟิกเพื่อทำเป็นดีวีดี ขั้นตอนหลังการถ่ายทำ (Post-production) ขั้นตอนในการทำ Film look หลังการถ่ายทำ ปกติจะใช้สำหรับวิดีโอที่ต้องการทำให้เหมือนฟิล์มแล้วเปิดกับจอโทรทัศน์เท่านั้น วิดีโอที่ต้องการขยายภาพไปเป็นฟิล์ม 35มม. ควรตรวจสอบกับผู้รับพิมพ์ฟิล์ม (Film print หรือ Film output) เสียก่อนว่าการทำ Film look ให้กับวิดีโอจะมีผลกับกรรมวิธีของการขยายภาพอย่างไร (ปกติการขยายภาพต้องการวิดีโอ ที่ถ่ายมาแบบ "ฟิล์มสไตล์" มาอย่างดีก็พอ ระบบจะมีกรรมวิธีในการทำ Film look อยู่ในตัวแล้ว) สำหรับรายละเอียดในการขยายภาพไปเป็นฟิล์มสามารถอ่านได้จาก DVM ฉบับที่ 6 เรื่อง "Film & Video Conversion" การทำ Film Look ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ สามารถจัดการด้วยตนเองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ หรือส่งไปให้ผู้รับบริการภายนอกก็ได้ หลักการ GIGO (Garbage in garbage out) ยังใช้ได้เสมอ เทคนิคของโปรแกรม และความพิถีพิถันของการปรับแต่ง การแก้สี และการใช้ฟิลเตอร์ต่าง ๆ อาจจะไม่ได้ทำให้วิดีโอของคุณน่าดูขึ้นหากขั้นตอนการถ่ายทำไม่ได้คุณภาพมาก่อน- 3:2 pulldown เป็นวิธีการแปลงภาพจาก 60i (Interlaced 60 fields) ให้เป็น 24p (Progressive) และทำกลับไปเป็น 60i อีกครั้งหนึ่ง เพื่อใช้กับวิดีโอทั่วไป (วิดีโอทั่วไปจะไม่รู้จัก 24p) ถึงแม้จะเป็น 60i เหมือนเดิมแต่เนื้อในจะถูกถอดให้เหลือเพียง 24 ภาพที่แตกต่างกัน การเคลื่อนไหวจึงมีลักษณะของฟิล์มเกิดขึ้น สำหรับระบบ PAL ที่เป็น 50 i ปกติจะแปลงไปเป็น 25p เลย ผู้ชมจะไม่รู้สึกแตกต่างจาก 24p แต่อย่างใด ระบบ PAL จะมีเส้นมากกว่าระบบ NTSC เมื่อขยายไปเป็นฟิล์ม จะได้คุณภาพสูงกว่า แต่เสียงต้องปรับใหม่ให้ยาวกว่าเดิม 4.166% (ตัวเลขที่ถูกต้องคือ 59.94 และ 29.97 แต่ปัดเป็นจำนวนเต็มเพื่อความสะดวก) - Deinterlace หรือ Frame Blend คือกรรมวิธีในการรวมสนามภาพ (Field) สองสนามที่เหลื่อมเวลากันของแต่ละกรอบภาพ (Frame) ที่มาจากวิดีโอปกติแบบ 60i หรือ 50i หลังจากการผนวก การกราด (Scan) ภาพจะทำทั้งกรอบในครั้งเดียว เรียกว่าการกราดแบบก้าวหน้า (Progressive) เขียนเป็น 30p, 25p และ 24p การถอดการสอดประสาน (Deinterlace) ออกจาก 60i เป็น 30p จะง่ายกว่าทำเป็น 24p และจะไม่เกิดภาพสะดุด แต่ผู้ชมจะเห็นความแตกต่างจาก 24p จริง ๆ อย่างไรก็ตามการทำ Deinterlace ควรจะทำโดยไม่ให้สูญเสียความคมชัด ซอฟต์แวร์บางตัวทำ Deinterlace อย่างง่าย ๆ โดยก๊อปปี้สนามภาพหนึ่งมาวางแทนอีกสนามภาพหนึ่งในกรอบภาพเดียวกัน วิธีนี้ความคมชัดจะลดลงครึ่งหนึ่ง กล้องโซนี่ระดับคอนซูเมอร์ก็จะทำวิธีนี้เมื่อปรับความไวชัตเตอร์ไปที่ 1/30 วินาที อย่างไรก็ตาม XL-1/S, GL1/2 จะเลียนแบบการกราดแบบก้าวหน้า 30p/25p เมื่อตั้งเป็นโหมด Frame Movie จึงเป็นที่สนใจของผู้ทำหนังทั้งหลาย ซอฟต์แวร์ที่ดีกว่าจะผสาน (Blend) สนามภาพทั้งสองเข้าหากัน ทำให้ความคมชัดในส่วนที่ไม่เคลื่อนไหวไม่มีการสูญเสีย ส่วนบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวจะใช้เทคนิคต่างกันหลายระดับ เช่นนำมาเฉลี่ยกัน 50:50 หรือมีการวิเคราะห์ภาพเพื่อจะผสานเฉพาะส่วนที่เคลื่อนไหวจริง ๆ เท่านั้น วิธีหลังนี้จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด- Grain manipulation and Gamma หลังจากการทำ Deinterlace สิ่งสุดท้ายที่จะต้องทำก็คือ การเปลี่ยนเส้นโค้งแกมมา (Gamma Curve) ซึ่งจะกระทบต่อภาพมากแม้จะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย จุดสว่างจะดูจางลงขณะที่เงาจะมืดยิ่งขึ้น สีพิสัยกลางจะดูอิ่ม ผู้เชี่ยวชาญการแก้สีจะปรับให้สีดูอบอุ่น (ตามแบบสีของฟิล์ม Kodak) หรือเย็นลงก็ได้ ความอิ่มตัวสีอาจจะต้องปรับเพิ่มหรือลดลงเพื่อให้ได้ภาพตามต้องการ ในส่วนของเม็ดฟิล์มหรือเกรน (Grain) อาจจะใส่เพียงบาง ๆ ก็พอ ภาพยนตร์ยุคใหม่จะเห็นเม็ดฟิล์มไม่มากนัก ผู้ผลิตฟิล์มปัจจุบันได้พยายามทำให้เม็ดฟิล์มเล็กลงจนมองไม่เห็น แน่นอนหากคุณอยากเลียนแบบหนังเก่า ๆ คุณสามารถเพิ่มเม็ดฟิล์มให้มาก ๆ ได้ จากจุดนี้คุณจึงจะทำกระบวนการอื่นต่อได้ เช่น การเพิ่มสีเขียวแบบฟิล์มฟูจิ หรือจะใส่เม็ดฟิล์ม รอยขีดข่วน และฝุ่นผงมาก ๆ เพื่อทำให้เหมือนฟิล์มเก่า หรือเพิ่มอาการสะบัดทางแนวนอน (เกิดจากตอนทำเทเลซีน) เป็นต้นตัวอย่างโปรแกรมการทำ Film look เพื่อให้เกิดแนวทางในการใช้งาน จึงขอนำตัวอย่างโปรแกรมและโปรแกรมเสริมที่สำคัญในการทำ Film Look มาให้รู้จักดังต่อไปนี้ - After Effects (www.adobe.com) เป็นโปรแกรมประกอบภาพที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดี ความสามารถในการทำ Deinterlace, Pulldown และ Color Correction ในตัว มีทางเลือก Motion Detection เพื่อเพิ่มคุณภาพให้กับส่วนที่ไม่เคลื่อนไหว After Effects สามารถให้คุณภาพได้ในระดับหนึ่ง แต่หากจะให้ดีกว่าควรนำมาทำงานร่วมกับโปรแกรมเสริม เช่น CineLook และ CineMotion- CineLook เป็นโปรแกรมเสริม (Plug-ins) ของ After Effects จาก DigiEffects (www.digieffects.com) สามารถแก้สี ปรับแกมมา ใส่เม็ดฟิล์ม รอยขีดข่วน และตำหนิต่าง ๆ ของฟิล์มได้ CineLook จะมีรายการที่ตั้งค่าไว้สำหรับเลียนแบบฟิล์มชนิดต่าง ๆ เช่นจาก โกดัก ฟูจิ และอักฟ่ากว่า 40 แบบ ส่วน CineMotion จะเน้นผลจากการเคลื่อนไหว ใช้ทำ Deinterlace, 3:2 Pulldown, การสะบัดทางแนวนอน และผลจากการเคลื่อนไหวอื่น ๆ โปรแกรมเสริมทั้งสองเมื่อรวมกันจะเป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยมสำหรับการทำ Film look ทีเดียว- FilmFX (www.bigfx.com) เป็นโปรแกรมเสริมของ After Effects บน Mac (กำลังจะมีรุ่นบน Final Cut Pro 3.0) และของโปรแกรมหลาย ๆ ตัวบน PC เช่น Premiere, After Effects, Incite, Speed Razor และ Combustion เป็นต้น FilmFX ปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 2.35 ได้รับคำชมมากมายว่าทำงานได้เร็วมาก นอกจากจะใช้ทำ Film look แล้วยังสามารถแก้สีและเลียนแบบฟิลเตอร์ของ Pro-Mist ได้ดีอีกด้วย ฟังก์ชันที่สำคัญเช่น Color curves, Gamma control, Unsurpassed color correction and matching, Extensive grain parameters, Anamorphic wide screen conversion, Old Film effects และ Gate weave เป็นต้น - DVFilm Maker (www.dvfilm.com) จริง ๆ แล้วเป็นบริษัทที่รับแปลงวิดีโอไปเป็นฟิล์ม แต่ก็มีโปรแกรมทำ Film look จำหน่ายด้วย ราคาเพียง 95 เหรียญเท่านั้น DVFilm Maker เป็นโปรแกรมแรกที่สนับสนุนโหมด 24p Advanced ของ DVX100 อย่างเต็มที่ ตัวโปรแกรมจะทำหน้าที่ Deinterlace พร้อมกับใส่ Frame look และแปลงอัตราส่วนลักษณะให้ด้วย สามารถทำงานได้ทั้ง NTSC และ PAL สนับสนุนทั้ง Mac และ PC บนโปรแกรมตัดต่อหลายตัวที่สนับสนุน QuickTime และ DV-AVI เช่น Premiere, Vegas และ CineStream เป็นต้น 24p Film look บน DVX100 บทความ Film Look เกิดจากกระแสความตื่นตัวใน DVX100 ซึ่งเป็นกล้องรุ่นล่าสุดของพานาโซนิคที่สามารถถ่ายแบบ 24p ได้ แต่เนื่องจากในโหมด 24p นี้จะมีอยู่ในกล้องระบบ NTSC เท่านั้นซึ่งไม่ได้ใช้งานเป็นหลักในบ้านเรา ดังนั้นเนื้อหาเกี่ยวกับโหมด 24p ในบทความต่าง ๆ จึงหายไปทั้ง ๆ ที่เป็นจุดเด่นที่สุดที่ทำให้กล้องตัวนี้กลายเป็นสินค้าร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ บทความ Film look คงจะจบไม่ได้หากไม่ได้กล่าวถึงการทำงานในโหมด 24p ของกล้องตัวนี้สักนิดหนึ่ง ดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า ถึงจะไม่มีกล้องที่ถ่ายแบบ 24p ได้ เราก็ยังสามารถทำ Film look ได้โดยให้ความสำคัญกับการถ่ายทำในลักษณะ "ฟิล์มสไตล์" เป็นพิเศษ นอกจากนั้น โปรแกรม Deinterlace หลาย ๆ ตัวก็สามารถสร้างความเหมือนฟิล์มได้ดีเยี่ยม จากวิดีโอที่ถ่ายมาแบบ 60i ตามปกติ ยิ่งวิดีโอในระบบ PAL ซึ่งมีความคมชัดสูงกว่า และมีอัตราการแสดงภาพใกล้เคียงกับฟิล์ม เราแทบไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปสนใจโหมด 24p นี้เลย ไม่ว่าจะต้องการเพียง ความเหมือนฟิล์ม หรือแม้แต่การ ขยายภาพขึ้น (Blowup) ไปเป็นฟิล์ม 35มม. จริง ๆ อย่างไรก็ตามภายใต้เทคนิค 24p ของ DVX100 ได้ซ่อนสิ่งที่น่าสนใจและมีประโยชน์ไว้หลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นความสามารถในการแปลงกับไปมาระหว่าง 24p กับ 60i โดยไม่เสียคุณภาพเลย ความสามารถในการใช้โปรแกรมที่ไม่รู้จัก 24p มาจัดการ และความสามารถในการใช้เทป และจอภาพที่ไม่รู้จัก 24p มาเปิดเล่นแบบ 24p ตามปกติเป็นต้น และที่สำคัญที่สุด การรักษาสภาพการทำงานที่เป็น 24p โดยตลอด ไม่มีการแปลงกลับไปกลับมาหลายครั้ง ย่อมจะรักษาคุณภาพของต้นฉบับได้ดีที่สุดความลับอยู่ที่ 60i เมื่อพูดถึง 24p เรามักคิดว่าจะมีการบันทึกแบบ 24fps ลงบนม้วนเทปจริง ๆ หลายคนคิดไปถึงสัญญาณซิงก์ ความถี่ในการกราด รวมทั้งกลไกในการบันทึกว่าจะให้มันเป็น 24fps อย่างไร เลยเถิดไปถึงจะหาเทปและจอภาพที่ไหนมาเปิดภาพจึงจะไม่ล้ม แต่เมื่อได้ศึกษาการทำงานของมันจริง ๆ กลับไม่ยากอย่างที่คิด กล้อง DVX100 และ VARICAM AJ-HDC27 แม่แบบของมัน รวมทั้งกล้องอีกหลายรุ่นที่ถ่ายแบบ 24p ได้ เวลาบันทึกลงบนเทป จะบันทึกแบบ 60i ธรรมดาเท่านั้น ต่างกันที่จำนวนภาพที่แตกต่างกันจริง ๆ หากดึงออกมาจะมีเพียง 24 ภาพต่อวินาทีเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ CCD ของกล้องจะเก็บภาพในอัตรา 24fps จริง ๆ ลงในบัฟเฟอร์ แล้วแปลงให้เป็น 60i (60 สนามภาพแบบสอดประสาน) โดยวิธี 3:2 Pulldown แบบเดียวกับที่ใช้ในเครื่องเทเลซีน ด้วยเทคนิคนี้ เทปและจอภาพจึงยังคงทำงานแบบ 60i ตามปกติ24p Standard จากรูป กรอบภาพ A, B, C, D ได้มาจากการทำงานแบบ 24fps แล้วดึงออกมาใส่ให้กับสนามภาพแบบ 60i โดยดึงออกมากรอบภาพละ 2 และ 3 สนามภาพสลับกันไป แถวสุดท้ายแสดงการแปลงกลับไปเป็น 24p จะเห็นว่ากรอบภาพ A, Bและ D ได้สนามภาพทั้งสองมาจากกรอบภาพเดียวกัน ส่วนกรอบภาพ C ได้สนามภาพมาจากต่างกรอบภาพกัน คือจากกรอบภาพที่ 3 และที่ 4 (แถวกลาง นับทีละคู่) กรอบภาพ A, B, C, D แถวบนเป็นภาพจาก CCD ที่ยังไม่ได้บีบอัด เมื่อจะบันทึกลงเทป (60i แถวกลาง) จะต้องบีบอัดตามมาตรฐานของฟอร์แมตนั้น ๆ เสียก่อน เช่นแบบ DV สังเกต กรอบภาพที่สร้างจากสนามภาพที่มีภาพเหมือนกันย่อมจะบีบข้อมูลได้ดีกว่า (AA, BB, DD) ส่วนกรอบภาพที่สนามภาพทั้งสองมีภาพต่างกันย่อมจะสร้างปัญหาในการบีบอัด (BC, CD) มากกว่า คุณภาพจะสู้แบบแรกไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อจะแปลงข้อมูลในเทปกลับไปเป็น 24p จะเห็นว่ากรอบภาพ A, B และ D สามารถยกมาได้โดยตรง แต่กรอบภาพ C จะต้องมีการดึงสนามภาพจากกรอบภาพที่ต่างกัน จึงต้องคลาย (Decompress) ข้อมูลออกมาก่อน แล้วจึงบีบอัดเข้าไปใหม่ให้ได้กรอบภาพ C ในแถวที่สาม การบีบและคลายข้อมูลที่เกิดจากสนามภาพที่ไม่เหมือนกัน ย่อมจะทำให้คุณภาพในการแปลงระหว่าง 24p-60i นั้นเกิดความเสียหายได้24p Advanced นวัตกรรมใหม่บน DVX100 DVX100 เรียกการทำงานแบบ 24p ที่ผ่านมาซึ่งนิยมใช้กันทั่วไปว่าเป็น โหมดมาตรฐาน (Standard) หรือ 3:2 เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว พานาโซนิค จึงออกแบบการทำงาน 24p แบบใหม่ให้กับ DVX100 เรียกว่า 24p Advanced จะเห็นว่าแต่เดิมการดึงจะทำแบบ 2:3 หรือ 3:2 สลับกันไปตลอด แต่พอเป็นโหมด Advanced จะใช้ 2:3:3:2 แทน ความแตกต่างจะเห็นได้ชัดเจนว่า วิธีนี้จะไม่มีเพียงกรอบภาพเดียวที่เกิดจากสนามภาพที่มีภาพต่างกันหรือมาจากต่างกรอบภาพกัน การบีบอัดมาเป็น 60i ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแปลงระหว่าง 24p กับ 60i ไม่ต้องมีการบีบคลายข้อมูลใหม่และยกมาได้โดยตรง กรอบภาพ BC แถวกลางทิ้งได้ทันทีเมื่อแปลงไปเป็น 24p โดยที่ทุกกรอบภาพ A, B, C และ D ยังอยู่ครบ ในทางกลับกัน การแทรกกรอบภาพ BC ขณะทำกลับไปเป็น 60i ก็ทำได้โดยง่าย Cinema Tools เป็นโปรแกรมหนึ่งที่สนับสนุนโหมด 2:3:3:2 นี้ และไปไกลกว่านั้น แทนที่จะสร้างไฟล์ใหม่ในการแปลงไปมาระหว่าง 24p กับ 60i มันกลับไปสร้างตัวชี้กรอบภาพให้กับ Quicktime โดยกำหนดให้อ่านข้ามกรอบภาพ BC นี้ไปได้ การสร้างตัวชี้หรือเขียนส่วนหัว (Header) ของไฟล์นั้นง่ายและเร็วกว่าการสร้างไฟล์ใหม่ทั้งไฟล์มาก ข้อเสียก็คือ พื้นที่ของไฟล์ 24p แบบนี้จะเท่ากับ 60i เดิม หรือมากกว่า 24p ทั่วไป 25% และคุณจะไม่มีทางนำกลับไปเป็นแบบ 60i ได้อีก เพราะ Cinema Tools จะไปแก้ต้นฉบับและไม่มีคำสั่ง Undo ให้ใช้ เลือกโหมดในการถ่ายอย่างไร กฎเกณฑ์พื้นฐานก็คือ ให้ถ่ายแบบ 24p Advanced เมื่อต้องการตัดต่อแบบ 24p แท้ ๆ และขยายขึ้นไปเป็นฟิล์มจริง ๆ หรือให้เลือกแบบ 24p Standard ถ้าต้องการให้งานอยู่บนวิดีโอตลอดโดยไม่มีการแปลงไฟล์เป็น 24p จริง ๆ - 24p Advanced: เหมาะสำหรับงานหลังการถ่ายทำที่มีเครื่องมือที่รู้จัก 2:3:3:2 เพราะการแปลงกลับไปมาจะไม่ทำ ให้สูญเสียคุณภาพ สามารถเลือกฟอร์แมตที่เหมาะสมให้กับลูกค้าได้ การทำงานแบบไฟล์ 24p แท้ ๆ นี้ยังประหยัดพื้นที่ และเวลาในการเรนเดอร์ถึง 20% นอกจากนี้ ในการทำดีวีดีจะให้คุณภาพสูงกว่าปกติเนื่องจากไฟล์ 24p แท้ ๆ จะมีข้อมูล น้อยกว่าจึงไม่ต้องบีบอัดมาก เครื่องเล่นดีวีดีทุกเครื่องจะสามารถทำ Inverse Telecine ในตอนเล่น ให้กลับไปเป็น 60i ได้ นอกจากนั้นยังสนับสนุนดีวีดีรุ่นใหม่ที่เป็น Progressive อีกด้วย - 24p Standard: เหมาะสำหรับการทำวิดีโอให้เหมือนฟิล์ม แต่ยังคงใช้งานกับวิดีโอ และตัดต่อแบบ 29.97 รวมทั้งงาน ตัดต่อที่มีฟุตเทจที่มาจากการเทเลซีนแบบ 3:2 ผสมกับที่ถ่ายมาจากกล้อง 24p- 30p: เหมาะสำหรับการถ่ายเพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหว หรือเมื่อนำไปทำงานร่วมกับกล้องแบบ Frame Movie (XL-1/S, GL-1/2, Panasonic) และเมื่อคุณต้องการความเหมือนฟิล์มโดยไม่ต้องการไปยุ่งกับ 24p หรือแม้แต่การ แปลงไปเป็น PAL ก็ตาม- 60i: เป็นโหมดปกติทั่วไปของระบบ NTSC จึงเป็นโหมดวิดีโอดั้งเดิมแท้ ๆ ที่กล่าวมาเป็นหลักการกว้าง ๆ ไม่ใช่กฎตายตัว แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ หากคุณคิดว่าคุณอาจจะนำไปทำเหมือนฟิล์ม ทำเป็นฟิล์ม หรืออาจแปลงไปเป็น PAL อย่าเลือกแบบ 30p กรณีอย่างนี้ให้เลือก 60i หรือโหมด 24p อย่างใดอย่างหนึ่งตัดต่อแบบ 24P แท้ ๆ ปกติไฟล์ที่ได้มาจากการจับภาพจากกล้อง DVX100 ผ่านสาย Firewire แบบ Native DV จะเป็น 60i เสมอไม่ว่าจะถ่ายด้วย 24p, 30p หรือ 60i จึงใช้โปรแกรมตัดต่อ NTSC ทั่วไปได้ตามปกติ แต่กรณีที่ต้องการทำงานแบบ 24p จริง ๆ คุณจะต้องถอด 2:3:3:2 ออกมาโดยโปรแกรมที่รู้จัก 24p Advanced เช่น DVFilm Maker (Cinema Tools รู้จัก 24p Standard) การถอดไฟล์เป็น 24p เพื่อทำงานแบบ 24p แท้ ๆ จะต้องใช้โปรแกรมตัดต่อที่สนับสนุน 24p ด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากโหมด 24p ของ DVX100 ไม่ได้เป็น 24 พอดี แต่เป็น 23.976 ดังนั้นเพื่อความเที่ยงตรงจะต้องตั้งโครงการในโปรแกรมให้เป็น 23.976 ด้วย Codec ที่สนับสนุน 24p และ 23.976p ในปัจจุบันก็คือ QuickTime ซึ่งใช้ได้ทั้งบน Mac และ PC โปรแกรมตัดต่อที่สนับสนุน 24p เช่น Premiere 6.5, Vegas 4.0, Blade 2 และ Final Cut Pro 3.0 เป็นต้น อย่างไรก็ตามการตัดต่อแบบ 24p นี้จะไม่สามารถแสดงภาพบนจอโทรทัศน์ได้เว้นแต่ท่านจะติดตั้งการ์ดแสดงผลแบบ Dual Head ที่มีตัวแปลงจอใดจอหนึ่งไปเป็นสัญญาณโทรทัศน์เท่านั้นเช่น การ์ด ATI Radeon 7500 และการ์ด NVidia GeForge4 บางรุ่นเป็นต้น ข้อควรระวังก็คือ QuickTime เป็น Codec ตัวเดียวที่สนับสนุน 24p และ 23.976p เนื่องจากยังไม่มีมาตรฐาน 24fps สำหรับ DV-AVI และ DVX100 ก็ไม่ใช่ 24 พอดี ดังนั้น การแปลงไปเป็น 24p ใน QuickTime เสียงจะต้องเปลี่ยนอัตราการชักตัวอย่างจาก 48Khz ไปเป็น 48.048Khz ด้วย (ถ้าใช้โปรแกรม DVFilm Maker จะแก้ให้เลย) นอกจากนั้นPremiere 6.5 ยัง Export QuickTime ไปเป็น 23.98 ไม่ใช่ 23.976 ทำให้มีการเลื่อน 1 กรอบภาพทุก ๆ 4 นาทีดังนั้นสำหรับ Premiere จึงควรเลือกโครงการที่เป็น 24.000p 40.048Khz แทน ส่วนโปรแกรมตัดต่ออื่น ๆ ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนที่จะใช้อัตรา 23.976p นี้สรุป ในอดีต การทำวิดีโอให้เหมือนฟิล์ม หรือการทำงานแบบ 24p จะเป็นเรื่องไกลตัว เป็นกรรมวิธีที่ใช้ในโพสต์เฮาส์ใหญ่ ๆเท่านั้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ทำงานนี้จะมีราคาหลาย ๆ ล้าน ขึ้นไป เทคโนโลยีทำสิ่งเหล่านี้มีราคาถูกลงและประสิทธิภาพสูงขึ้น พัฒนาการของคอมพิวเตอร์ โปรแกรม ทำให้วันนี้เราสามารถทำในสิ่งที่ไม่เคยจะคิดว่าจะทำได้มาก่อน ด้วยการ์ด Firewire เล็ก ๆ กับกล้อง DV ระดับกึ่งอาชีพ และโปรแกรมที่จำเป็นอีกไม่กี่ตัว ใคร ๆ ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานให้ใกล้เคียงกับฟิล์มภาพยนตร์ได้แล้ว แล้วท่านล่ะ จะไม่ลองผลิตวิดีโอที่เป็น Film look กับเขาบ้างหรือ...คัดลอกมาจาก DVM ฉบับที่ 17 หน้า 17 -24References:http://www.dv.com/print-me.jhtml?LookupId=/xml/feature/2002/jackman1202http://www.dv.com/print-me.jhtml?LookupId=/xml/feature/2002/billups1002http://www.urbanfox.tv/production/filmlookindex.htmhttp://www.digieffects.com/frames/howtotransfervideotofilm.htmlhttp://www.camcorderinfo.com/content/film_look_24_progressive_video_indie.htmhttp://www.dvfilm.com/maker/indexhttp://www.filmlook.com/process.html

การจัดองค์ประกอบภาพ

for everyone เป็นกระบวนการถ่ายภาพหรือบันทึกภาพให้เสนอเรื่องราวได้น่าสนใจ มีศิลปะ มองดูสวยงาม ช่างภาพอาจจะสร้างสรรค์ (Creative) งานขึ้นมาจากความรู้และประสบการณ์ของตนเอง หรืออาจจะถ่ายทำตามบท (Script) ที่กำหนดไว้
กระบวนการประกอบภาพ อาศัยหลักการคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง หรือโทรทัศน์นั่นคือ จะมีการจัดสิ่งที่ถ่าย การตั้งกล้องถ่ายทำ การล้างอัดขยายในกรณีที่เป็นภาพนิ่ง และกระบวนการตัดต่อภาพ ตัดต่อเสียง จนถึงขั้นตอนการทำสำเนาภาพ (Duplicate)

การจัดสิ่งที่ถ่าย

- ผู้ถ่ายภาพหรือช่างภาพต้องสำรวจดูสิ่งที่ถ่าย (Subject) ในเรื่องการแต่งกาย ท่าทาง สิ่งแวดล้อม พื้นหน้า (Foreground) พื้นหลัง (Background) ความเหมาะสมกลมกลืนเป็นธรรมชาติ
- พิจารณาแสงสว่าง (Lighting)
- พิจารณาทำเล สถานที่ถ่ายทำ (Location)
- พิจารณาสภาพแวดล้อมและบรรยากาศโดยทั่วไป
การตั้งกล้องถ่าย
เป็นขั้นตอนที่ช่างภาพ จะต้องมองผ่านช่องมองภาพ (Viewer) หรือกรอบมองภาพ เพื่อสำรวจดูว่าการจัดสิ่งที่ถ่ายนั้น เป็นที่พอใจหรือไม่ ปรับปรุง หรือจัดทำให้พอใจทุกประการ แล้วลองตั้งกล้องถ่าย (ตั้งกล้องให้กรอบภาพได้ฉากหรือขนานกับเสาไฟฟ้า ยกเว้นกรณีที่ถ่ายทำภาพแบบโลดโผน) จากนั้นยังคำนึงถึงหลักการต่าง ๆ อีกหลายประการ เช่น
1. จุดมองภาพ (Point of view)
- ศูนย์สนใจ (Center of interest)
- เส้น (Line)
- พื้นภาพหรือมวล (Mass)
- การตัดกัน (Contrast)
การมองภาพ มีเกณฑ์ในการพิจารณา คือ
1.1 ทิศทางกล้อง (Camera direction)
- ตรง
- ซ้าย
- ขวา
1.2 ระดับของกล้อง หรือมุมกล้อง (Camera angle)
- ระดับตา (Eye Level)
- ระดับสูง (High Level)
- ระดับต่ำ (Low Level)
1.3 ระยะห่างของกล้อง (Camera distance)
- Medium shot : MS (ระยะ 3-4 เมตร)
- Long shot : LS (ระยะเกิน 4 เมตร ออกไป)
- Close-up shot : CU (ระยะใกล้กว่า 3 เมตร เข้ามา)

2. รูปแบบของภาพ (Format)
- Vertical format
- Horizontal format
- Square format
ทั้งนี้อยู่ที่ช่างภาพจะใช้กล้อง 35 มม. หรือกล้องที่ใช้ฟิล์ม6 x 6 ซม. ซึ่งถ้าเป็นภาพนิ่งธรรมดายังสามารถจะตัดตอน (Crop) ใหม่ได้ เมื่อจะทำการอัดขยายภาพ

3. ศูนย์สนใจของภาพ (Center of interest)
3.1 ประกอบภาพให้มองเห็นสิ่งที่ถ่ายเด่นที่สุด
- ให้มองเห็นโตที่สุด
- ให้อยู่ส่วนกลางของกรอบภาพ
- ให้มีสีตัดกัน เด่นจากสภาพแวดล้อม
- ให้ชัดอยู่จุดเดียว
3.2 เสนอเรื่องราวเพียงเรื่องเดียว
3.3 ให้ส่วนประกอบกลมกลืนกับสิ่งที่ถ่าย
3.4 ประกอบภาพให้ได้สัดส่วนมีดุลภาค

4. มีคุณค่าทางศิลป์
- อาศัยหลักการทางศิลปะ
- ให้สีพื้นลดหลั่นกันในภาพ (Mass)
- ให้มีเส้นแสดงความหมาย

เส้น (Line)
ก. เส้นตรง
- เส้นตั้ง
- เส้นนอน
- เส้นเฉียงหรือเส้นทะแยง
- สองเส้นขนานกัน
- สองเส้นตัดกัน
ข. เส้นโค้ง
ค. เส้นคดเคี้ยว
เส้นจะแสดงอาการอ่อนช้อย หรือแสดงถึงการเคลื่อนไหวของภาพได้
นอกจากนั้นอาจประกอบภาพให้มีคุณค่าทางศิลป์น่าสนใจยิ่งขึ้น ทำได้อีกหลายรูปแบบ เช่น
- แบบกลุ่มวัตถุอย่างเดียวกัน (Repetition)
- แบบลายละเอียดละออ (Texture)
- แบบเปรียบเทียบ (Comparision)
- แบบแสดงบรรยากาศ (Atmosphere)
- แบบแสดงความลึก (Perspective)
- แบบภาพสะท้อนและภาพเงาดำ (Reflection and silhouette)
- แบบลวดลาย (Pattern)
- แบบเป็นกรอบ (Frame)
- ถ่ายจากมุมแปลก (Angle shot)

กฎสามส่วน (Rule of thirds)

การจัดวางตำแหน่งให้เหมาะสมเพื่อสร้างจุดสนใจในภาพมีหลักเกณฑ์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันอีกวิธีหนึ่งก็คือ การใช้กฎสามส่วน รูปภาพไม่ว่าจะเป็นแนวตั้ง หรือแนวนอน หากเราแบ่งกรอบออกเป็น 3 ส่วน โดยลากเส้นแบ่งกรอบภาพ จะมีจุดตัดเกิดขึ้น 4 จุด จุดนี้จะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับจัดวางวัตถุ (Subject) ที่ต้องการเน้นให้เด่น
การแบ่งกรอบออกเป็นส่วน ๆ นี้ ยังสามารถจัดวางเส้นขอบฟ้าของภาพวิวทิวทัศน์ได้อีกด้วย นิยมแบ่งให้เป็น 1 : 3 หรือ 3 : 1 ซึ่งเราจะไม่นิยมจัดแบ่งเป็น 1 : 1



การล้างและอัดขยายภาพ

เป็นกระบวนการที่ช่างภาพจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคต่าง ๆ ในห้องมืด (Dark room) อาทิ น้ำยาล้างฟิล์ม น้ำยาล้างกระดาษ น้ำยาคงสภาพ ความพอดีของฟิล์ม กระดาษอัดรูปลักษณะต่าง ๆ ตลอดจนข้อควรปฏิบัติในห้องมืด
ในการล้างและอัดขยายภาพ (การจัดองค์ประกอบก็มีความสำคัญมาก ช่างภาพจะต้องคำนึงถึงการทำภาพให้มีความน่าสนใจ เลือกตัดตอน (Crop) ภาพให้มีความเด่น นำเสนอเรื่องราวได้ตรงจุดมุ่งหมาย

การลำดับภาพ

การลำดับภาพเป็นกระบวนการที่มีความละเอียดอ่อนไม่ด้วยไปจากการผสมเสียง ผล
งานที่นำเสนอจะมีสีสัน มีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันแค่ไหนขึ้อยู่กับการลำดับภาพนั่นเอง หลังจากที่เราผสมเสียง (Mix) โดยการนำเสียงที่มีทั้งหมดในเรื่องราวที่จะนำเสนอ อาจจะเป็นเสียงบรรยาย เสียงสนทนา เพลงประกอบ เสียงประกอบ ฯลฯ บรรจุไว้ในคอมพิวเตอร์ และบันทึกลงในม้วนวีดีโอแล้ว เราก็จะตัดต่อภาพที่เตรียมไว้ลงในม้วนวีดีโอ ขั้นตอนนี้บางทีก็เรียกเป็นการตัดต่อ (Edit)
การตัดต่อภาพ ผู้ตัดต่อ (Editor) จะมีหลักการและทฤษฎีมาใช้ทั้งด้านจิตวิทยา การรับรู้ การสื่อสาร ความละมุนละไมทางศิลปะ นอกจากนี้ยังจะต้องเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ดี การคาดคะเนทีดี เพื่อจะนำเสนอได้ว่า อะไรเกิดขึ้น และต่อไปจะเกิดอะไร หรือ ควรจะมีเหตุการณ์อะไรบ้าง ลำดับต่อเนื่องต้องนุ่มนวล ไม่ทำให้งานออกมาสดุดความรู้สึกของผู้ชมได้



ตัวอย่างการจัดองค์ประกอบภาพ

1. Portrait





2. Silhouette



3. Landscape


4. Perspective


5. Close up


6. Repetition


7. Out door


8. Frame


9. View









ที่มา

คณะผู้จัดทำ
รศ.ถาวร สายสืบ ผู้เชี่ยวชาญเนื้อหา
นายสนาม เอกวิลัย เทคนิคภาพวีดิโอ
นายวิวัฒน์ มีสุวรรณ์ ออกแบบกราฟิก
นายสิงห์ดุล สมพมิตร เสียง
นายนพศักดิ์ สว่างรุ่ง เสียง
นายวรพงศ์ จาดยางโทน ดูแลระบบ